รพ.
โรคริดสีดวงไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่อาจทำให้เป็นโรคเรื้อรังที่เป็นๆ หายๆ ได้ หลายคนรู้สึกอายที่เป็นบ่อยครั้งกว่าจะไปพบหมอได้ก็เป็นขั้นรุนแรงแล้ว ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการกินยา ถ้าหากเราได้มีการศึกษาให้ดีถึงอาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา จะทำให้เราทราบได้ว่าโรคริดสีดวงมีส่วนทำให้กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันของเราอย่างไร" ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก คลิก กับ นายแพทย์นเรนทร์ สันติกุลานนท์
นำรากหรือต้นยาว 1-2 ข้อนิ้ว ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ ทาที่ริดสีดวงทวาร ช่วยให้หัวริดสีดวงยุบลง 2. ) นำใบ 10-20 ใบ มาตากแห้ง บดให้เป็นผง แล้วคลุกกับน้ำผึ้งรวง ปั้นเป็นเม็ดขนาดเท่าเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ทุกๆ วันติดต่อกัน 7-10 วัน 3. ) ใช้ใบแห้งป่นเป็นผง โรยในถ่านไฟ เผาเอาควันรมที่หัวริดสีดวงทวารหนัก ช่วยให้ยุบฝ่อลง 3. ครอบฟันสี สรรพคุณ รักษาริดสีดวงทวาร ขับปัสสาวะ แก้ปวดท้อง ท้องร่วง 1. ) ใช้ราก 150 กรัม ต้มเอาน้ำข้นๆ ดื่มประมาณ 1 ถ้วยชา ที่เหลืออุ่นเอาไอน้ำ รมที่หัวริดสีดวง *ระวังอุณหภูมิไม่ให้ร้อนจนเกินไป ใช้ความอุ่นเท่าที่เราทนได้ รมวันละ 5-6 ครั้ง เสร็จแล้วนำน้ำอุ่นๆ ที่เหลือมาชะล้างแผล 4. เหงือกปลาหมอ สรรพคุณ ตัดรากฝีภายใน และภายนอกทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวาร 1. ) ใช้เหงือกปลาหมอ 2 ส่วน กับพริกไทย 1 ส่วน ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ดขนาดเท่าเมล็ดพุทราไทย รับประทานครั้งละ 1 - 2 เม็ด ก่อนอาหารวันละ 1 ครั้ง(2) 5. ขลู่ สรรพคุณ แก้โรคบิด ขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่วในไต ช่วยย่อยอาหาร รักษาริดสีดวงทวาร และรักษาริดสีดวงจมูกได้อีกด้วย 1. ) ใบของต้นขลู่มีกลิ่นหอม สามารถนำมาต้มเป็นชาขลู่ ดื่มแก้ริดสีดวงทวารหนัก 2. )
หากมีอาการ บวมควรประคบด้วยความเย็น โดยใช้ ถุงเจลประคบเย็น ประคบแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5-10 นาที เพราะหากประคบนานเกินไปจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี และทุกครั้งหลังการขับถ่ายไม่ควรดันหัวริดสีดวงกลับทันทีหลังจากการถ่ายเสร็จ 2. หากมีอาการปวดควรนั่งแช่น้ำอุ่น 3. รักษาความสะอาด ล้างบริเวณก้นด้วยน้ำอุ่น หรือ น้ำสะอาด รักษาความสะอาดอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ แต่ถ้าอยากใช้สบู่ ก็ควรเป็นสบู่เด็กอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองของหัวริดสีดวงที่กำลังบวมหรือมีการอักเสบอยู่ (ไม่ควรทำความสะอาดด้วยกระดาษชำระแบบแข็ง แต่ควรใช้วิธีชุบน้ำ หรือใช้กระดาษชำระชนิดเปียกแทน) 4. การนั่งขับถ่ายที่ถูกต้อง คือ การนั่งทำมุม 35 องศา เพื่อให้ลำไส้สะดวกต่อการขับถ่ายมากที่สุด กล้ามเนื้อที่รั้งลำไส้ใหญ่จะคลายตัวทำให้ลำไส้ใหญ่มีลักษณะที่ตรง ช่วยให้สามารถขับถ่ายออกมาได้ง่ายขึ้น 5. ทานผัก ผลไม้ชนิดมีกากใยสูงให้เพียงพอ หรือธัญพืช เพื่อป้องกันท้องผูก 6. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่ม และขับถ่ายออกได้ง่าย 7. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้ถ่ายอุจจาระได้ง่าย 8. ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา ไม่กลั้น และไม่เบ่งอุจจาระแรง 9.